Process

สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อผู้คน และอ่อนโยนต่อโลก

ผ้าฝ้ายปลอดสารเคมี

การปลูกฝ้ายก็เหมือนการทำนา โดยจะเริ่มหว่านเมล็ดฝ้ายช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฏาคม และจะเก็บดอกฝ้ายช่วงเดือนธันวาคม ถึงมกราคม ดอกฝ้ายที่เก็บมาจะนำไปหมู่บ้านที่ปั่นด้าย และตากประมาณ 2-3 วันให้แห้ง จากนั้นจึงค่อยแยกเมล็ดฝ้ายกับฝ้ายออกจากกัน ในขั้นตอนการแยกนั้น เราจะใช้เครื่องมือแยกเมล็ดช่วยเพื่อไม่ให้มีเมล็ดที่แตกหักหลงเหลือในฝ้าย 2/3ของดอกฝ้ายคือเมล็ดที่จะนำไปเก็บเอาไว้เพื่อนำไปหว่านปลูกในปีถัดไป หลังจากที่นำสิ่งสกปรกออกจากฝ้ายแล้วจะตีฝ้ายขึ้นเพื่อให้อากาศเข้าไปข้างใน สำหรับการตีฝ้ายในสมัยก่อนจะใช้เครื่องมือที่มีรูปร่างคล้ายธนูกับตระกร้า แต่ในปัจจุบันมีหลายที่ที่ใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนที่เนื่องจากการใช้แรงงานคนนั้นทำให้ต้องใช้ต้นทุนเป็นจำนวนมาก เมื่อตีฝ้ายเรียบร้อยแล้ว จึงนำฝ้ายมาขึ้นเกลียว ใช้เครื่องปั่นด้ายแบบดั้งเดิมเพื่อปั่นด้ายทอมือขึ้นมา

การย้อมสีจากวัสดุธรรมชาติ

วัตุดิบในการทำสีย้อมผ้าจะใช้พืชที่เก็บได้จากพื้นที่นั้นๆ จากนั้นจะทำการย้อมด้าย หรือผ้าด้วยพืชเหล่านั้น โดยแยกวิธีการย้อมเป็น “การย้อมเย็น” หรือ “การย้อมร้อน” ตามสีที่อยากได้

ในกรณีที่สีย้อมผ้าเป็นสีที่ได้มาจากลำต้นของต้นไม้มักจะใช้ “การย้อมร้อน” ในการย้อมสีผ้า วิธีการทั่วไปสำหรับการเลือกพืชที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำสีย้อมผ้าคือการเก็บพืชเหล่านั้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด หลังจากนั้นนำมาหั่นให้ละเอียดเพื่อให้สีกระจายตัวได้ดี และนำไปแช่น้ำปูนใสทิ้งไว้ 1 คืน จึงค่อยนำพืชนั้นมาต้มเพื่อสกัดสี

นำด้ายใส่ลงไปในสีย้อมผ้าที่ผ่านการกรองหลังต้มเสร็จแล้ว จากนั้นคนด้ายให้ทั่วกันและย้อมต่อไปเรื่อย ๆ ผสมสารช่วยติดสี เช่น น้ำด่างขี้เถ้า สนิม หรือ โคลนลงไปเพื่อทำให้สีติดทนมากขึ้น แล้วนำด้ายที่ย้อมแล้วไปตากไว้ในที่ร่มเพื่อให้สีติดทนนานมากกว่าเดิม

การย้อมคราม

"น้ำย้อมคราม" ได้มาจากใบของต้นครามแล้วนำมาหมักในโอ่งพิเศษที่เรียกกันว่าหม้อย้อมคราม และคนให้เข้ากันทุกวันเพื่อให้เนื้อโคลนได้สัมผัสกับอากาศและสารอาหาร จนกลายเป็นสีสำหรับย้อมผ้า

น้ำย้อมครามที่ใช้เวลาในการหมักและเกิดจากความใส่ใจนั้นจะมีสีน้ำเงินสดใสและสีเหลือง อีกทั้งยังมีกลิ่นเฉพาะตัวของต้นครามอีกด้วย

เมื่อย้อมเสร็จใหม่ ๆ สีที่ได้จะออกไปทางสีเขียวๆ ค่อนไปทางสีคราม แต่จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีครามมากขึ้นหลังจากที่สัมผัสกับอากาศ

ความเข้มของสีจะขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่นำไปย้อม

สภาพของหม้อย้อมครามและสภาพอากาศคือปัจจัยที่ทำสีที่ย้อมมีความแตกต่างกันออกไป

วิธีการย้อมครามของ planeta ORGANICA จะไม่ใช้ผงครามหรือสารเคมีเพื่อให้สีของครามติดอย่างสม่ำเสมอ แต่จะใช้“น้ำย้อมคราม” ที่ทำมาจากต้นครามที่ปลูกโดยคนในหมู่บ้านเป็นวัตดุดิบในการทำสีย้อมผ้า

ย้อมดำจากไม้มะเกลือ

นำผลจากไม้มะเกลือแช่น้ำเอาไว้เป็นเวลา 1 ปี จากนั้นจึงนำผลที่หมักเอาไว้มาบดเพื่อนำไปใช้ หลังจากผ่านการย้อมและนำไปตากแดดเป็นจำนวนหลายครั้ง สีก็จะเริ่มเปลี่ยนจากสีเทา เป็นสีน้ำตาล จนกลายเป็นสีดำตามลำดับ

ทอผ้า

เมื่อกำหนดลายผ้าและความยาวที่จะทอแล้ว ก็จะเตรียมด้ายเส้นยืน

ด้ายเส้นยืนจะต้องมีจำนวนประมาณ 1,720 เส้นสำหรับเครื่องทอผ้าขนาดความกว้าง 1 เมตร และจะต้องมีจำนวนด้ายประมาณ 4,000 เส้น สำหรับเครื่องทอผ้าขนาดความกว้าง 2.4 เมตร แม้ว่าการทอผ้าจะสามารถทอลายต่าง ๆ ออกมาได้นับไม่ถ้วนจากการวางด้ายเส้นยืนเพียง 2 ถึง 12 เส้น แต่ลายของผ้าที่ต้องการนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งการวางด้วย ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงถือเป็นเป็นขั้นตอนที่สำคัญเลยก็ว่าได้

ยกตัวอย่างเช่น ผ้าเช็ดตัวของ planeta ORGANICA เกิดจากการวางด้ายเส้นยืน 4 เส้น แล้วทอออกมาจนเป็นผืนผ้า การเตรียมโครงร่างด้ายเส้นยืน ด้ายเส้นพุ่งในแต่ละขั้นตอนจะใช้เวลาและฝีมือเป็นอย่างมาก ผ้าทอมือเป็นผ้าที่ถูกถักทอออกมาอย่างประณีต ความเร็วเทียบได้ประมาณ 1/10ของเครื่องจักรที่ใช้ทอผ้า